วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

การแต่งกายไทย




การแต่งกายไทย


การแต่งกายไทย ในอดีต-ปัจจุบัน


ชาติไทย เป็นชาติใหญ่ใน เอเชีย มาแต่ก่อน พุทธกาล เรามีแบบ เครื่องแต่งกาย ของเรา โดยไม่ได้ ลอกแบบ ใคร ทั้งสิ้น ไทยสมัย นั้น ชายหญิง ตาม การสันนิษฐาน ว่า นุ่งกางเกง กันเป็นพื้น เราเคยเข้าใจว่า จีนนุ่งกางเกง มาก่อนไทย เพราะมีคำว่า ”กางเกงจีน” ทำให้เราเข้าใจเช่นนั้น แท้จริงแล้ว จีน น่าจะลอกแบบ ไปจากไทย ด้วยซ้ำ ตามหลักฐาน การค้นคว้า ภายหลังทำให้ทราบชัดขึ้นว่า ไทยไม่ได้ เชื้อสาย มองโกเลีย กับจีน แต่ไทยเรา น่าจะเป็น เชื้อสาย กับ ”มาเลเซีย” มากกว่า และก็ได้แผ่ขยายขึ้นไปจาก แผ่นดิน แหลมทอง ไม่ได้ลงมาจากเหนือ สิ่งที่เป็น พยานหลักฐาน นับว่าได้แก่ บรรดา เครื่องมือดิน และ พวกภาชนะ เครื่องปั้นดินเผา นั่นเอง ทั้งจีนเองก็เพิ่ง เคลื่อนย้าย มาอยู่ ตามแถบ แม่น้ำไหล ( สาขาของ แม่น้ำ แยงซีเกียง ) เรื่องราว 2000 ปี ก่อนพุทธศก นี้เอง แต่ไทยเรา ครอบครองแดน จีน มา ไม่ต่ำกว่า 4500 ปีแล้ว การแต่งกาย ของจีน นั้น รุ่มร่มกว่า เพราะต้องอยู่กับอากาศหนาว และต้องผ่าน ทะเลทราย โคบี อันไพศาล มาด้วย ประกอบกับ ไทยต้องอยู่ในประเทศ ลุ่มๆ ดอนๆ จึงจำต้อง แต่งกาย ให้เหมาะสม และสะดวก ใน การเดินทาง ซึ่งในสมัยนั้น จะดีกว่า การเดินเท้าเปล่า ก็เพียงเลื่อน และ เกวียน การแต่งกาย จึงขึ้นอยู่กับ การอาชีพ สภาพของ ดินฟ้าอากาศ และ ภูมิประเทศ นี่เป็น การสันนิษฐาน เรื่องไทย นุ่งกางเกง มาก่อน

ตำขนุน

ตำขนุน
เครื่องปรุง

ขนุนอ่อนต้มสุก

น้ำมันพืช

มะเขือเทศลูกเล็ก ผ่าครึ่ง

ใบมะกรูดหั่นฝอย

ผักชีหั่นหยาบ

หอมแดงเจียว

กระเทียมเจียว

น้ำปลาร้าต้มสุก

น้ำปลา

2 ถ้วย

3 ช้อนโต๊ะ

15 ลูก

1 ช้อนโต๊ะ

2 ช้อนโต๊ะ

2 ช้อนโต๊ะ

2 ช้อนโต๊ะ

1/2 ช้อนชา

1 ช้อนโต๊ะ


เครื่องแกง

พริกแห้งเผา

หอมแดงเผา

กระเทียมเผา

ข่าหั่นละเอียด

กะปิ

เกลือ

5 เม็ด

5 หัว

3 หัว

2 ช้อนโต๊ะ

1 ช้อนชา

1/2 ช้อนชา


วิธีทำ

1 โขลกพริก กระเทียม หอมแดง ข่า เกลือและกะปิ ให้ละเอียด

2 ใส่ขนุนต้มสุก ตำให้เข้ากัน ใส่มะเขือเทศ ตำพอแตก เติมน้ำปลาร้า น้ำปลา คนให้เข้ากัน พักไว้

3 นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพอร้อน นำตำขนุนลงผัด จนมะเขือเทศสุก

4 ตักใส่จาน โรยด้วยใบมะกรูด ผักชี หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว

นิยมรับประทานกับแคบหมู หอมหัวใหญ่

ลาบ




ลาบ เป็นการปรุงอาหารโดยนำเนื้อสัตว์ มาสับหรือหั่น แล้วนำไปทำให้สุกด้วยความร้อนอาจคั่วหรือลวกในน้ำเดือด ปรุงรสด้วย พริกแห้งป่น ข้าวคั่ว น้ำปลาร้า น้ำปลา และน้ำมะนาว (สำหรับผู้ชอบรสเปรี้ยว) หรือน้ำดี (สำหรับผู้ชอบรสขม) คลุกเคล้าให้เข้ากัน แต่งกลิ่นด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ต้นหอมหั่นฝอย หอมเปและใบสะระแหน่ รับประทานกับผักสด เช่น ลิ้นฟ้า ผักหนอก (ใบบัวบก) ผักแพว (ไผ่) กระโดน เม็ก ใบมะตูมอ่อน ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักกาดหิ่น เป็นต้น

เนื้อสัตว์ที่ใช้ทำลาบ ใช้เนื้อสัตว์ได้ทุกชนิดทั้ง หมู ไก่ วัว ปลา ฯลฯ บางหมู่บ้านจะใช้ เนื้อสัตว์ดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ส่วนในเมืองจะทำให้เนื้อสัตว์นั้นสุกโดยวิธีคั่ว (นำเนื้อสัตว์นั้นใส่หม้อ หรือกระทะ) ใช้ไฟปานกลาง ไม่ใส่น้ำ น้ำจากเนื้อสัตว์นั้นจะออกมา ผู้ปรุงคนไปมาจนเนื้อสัตว์นั้น สุกจึงยกลง ปล่อยให้เย็นจึงใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ ลงไป
การปรุงรสของลาบจะมีรสเปรี้ยวนำ ที่ขาดไม่ได้เลยคือ ข้าวคั่ว เพราะจะทำให้ลาบมี ความข้นและรสกลมกล่อมยิ่งขึ้น เมื่อจิ้มด้วยข้าวเหนียวร้อน ๆ

แกงฮังเล


แกงฮังเล
เครื่องปรุง

ขาหมูเอากระดูกออก

น้ำพริกแกงเผ็ด

ผงฮังเล

เกลือป่น

ซีอิ๊วดำ

น้ำปลา

ขิงซอย หอมแดง กระเทียม

อย่างละ

กระท้อนเปรี้ยวสับ

น้ำตาลอ้อย

มะขามเปียก

น้ำซุป

1 กิโลกรัม

1 1/2 ขีด

1 1/2 ช้อนชา

1 ช้อนชา

2 ช้อนโต๊ะ

2 ช้อนโต๊ะ

1 ขีด

1 ถ้วย

5 ช้อนโต๊ะ

1 ถ้วย

4 ถ้วย


วิธีทำ

1 หั่นขาหมูเป็นชิ้น 1 1/2 นิ้ว คลุกด้วยพริกแกงเผ็ด ผงฮังเล ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำปลา และเกลือ หมักไว้ 4 ชั่วโมง

2 นำขาหมูที่หมักไว้ใส่หม้อตั้งไฟร้อนปานกลาง คนตลอดเวลา 30 นาที

3 ใส่กระท้อนสับลงไป คนต่อ 5 นาที

4 ใส่น้ำตาลอ้อยลงไป คนต่อ 5 นาที

5 ใส่มะขามเปียกลงไป คนต่อ 5 นาที

6 ใส่ขิงซอย หอมแดง กระเทียม คนให้เข้ากัน

7 ใส่น้ำซุป 3-4 ถ้วย คนให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อน 1 ชั่วโมง จนเปื่อยได้ที่ ชิมดู อาจเติมน้ำปลาเพิ่มเติม

ขนมจีนน้ำเงี้ยว

ขนมจีนน้ำเงี้ยว
เครื่องปรุง

ซี่โครงหมูตัดเป็นชิ้น 1 นิ้ว (ต้มให้นุ่ม)

เลือดหมู หั่นเป็นลูกเต๋า 1 นิ้ว

มะเขือเทศลูกเล็ก ผ่าครึ่ง

เกลือ

น้ำมันพืช

น้ำซุป (น้ำต้มกระดูหมู)

1/2 กิโลกรัม

1/2 กิโลกรัม

1/2 กิโลกรัม

2 ช้อนโต๊ะ

2 ช้อนโต๊ะ

6 ถ้วย

เครื่องแกง

พริกแห้ง

รากผักชีหั่นฝอย

ข่าหั่นละเอียด

ตะไคร้ซอย

กะปิ

หอมแดง

กระเทียม

7 เม็ด

1 ช้อนชา

1 ช้อนชา

2 ช้อนชา

2 ช้อนชา

7 หัว

3 หัว


วิธีทำ

1 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด นำลงผัดในน้ำมันให้หอม ใส่หมูสับ ผัดจนเข้ากัน

2 เทลงหม้อน้ำต้มกระดูกหมู ใส่ซี่โครงหมู แล้วใส่เลือดหมู มะเขือเทศ

3 ปรุงรสด้วยเกลือ พอเดือดอีกครั้ง ยกลง เสร็จขั้นตอนทำน้ำเงี้ยว

4 จัดขนมจีนใส่จานพร้อมเครื่องเคียง ราดด้วยน้ำเงี้ยวที่ทำไว้

เข็มทิศ



เข็มทิศ (อังกฤษ: magnetic compass) คือเครื่องมือสำหรับใช้หาทิศทาง มีเข็มแม่เหล็กที่แกว่งไกวได้อิสระในแนวนอนทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ตามแรงดึงดูดของแม่เหล็กโลก และที่หน้าปัดมีส่วนแบ่งสำหรับหาทิศทางโดยรอบ เข็มทิศจึงมีปลายชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ (อักษร N หรือ น) เมื่อทราบทิศเหนือแล้วก็ย่อมหาทิศอื่นได้โดยหันหน้าไปทางทิศเหนือ ด้านขวามือเป็นทิศตะวันออก ด้านซ้ายมือเป็นทิศตะวันตก ด้านหลังเป็นทิศใต้ การบอกทิศทางในแผนที่โดยทั่วไป คือการบอกเป็นทิศที่สำคัญ 4 ทิศ คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก หรืออาจจะบอกละเอียดเป็น 8,16 หรือ32ทิศก็ได้


การบอกทิศทางแบบอะซิมุท (Azimuth)


เป็นวิธีการที่คิดขึ้นมาเพื่อใช้ในการบอกทิศทาง คือวัดขนาดของมุมทางราบที่ วัดจากแนวทิศเหนือหลักเวียนตามเข็มนาฬิกามาบรรจบกับแนวเป้าหมาย ที่ต้องการมุมทิศอะซิมุทนี้จะมีค่าตั้งแต่ 0-360 องศา และเมื่อวัดมุมจากเส้นฐานทิศเหนือหลักชนิดใดก็เรียกทิศเหนือตามหลักนั้น


การบอกทิศทางแบบแบริง (bearing)


คือการบอกทิศทางเป็นค่าของมุมในแนวราบ ซึ่งวัดจากแนวทิศเหนือหลักไปยังแนวเป้าหมายในทิศทางตะวันออกหรือตะวันตก หรือวัดจากแนวทิศใต้หลักไปแนวเป้าหมายทิศตะวันออกหรือตะวันตก ดังนั้นขนาดของมุมแบริงจะมีค่าไม่เกิน 90 องศา การอ่านค่ามุมแบบแบริงจะเริ่มต้นด้วยทิศหลัก เช่นทิศทาง AB เบนจากทิศเหนือไปทิศตะวันตกเป็นมุม 75 องศา เรียกทิศทาง AB นั้นว่า มีมุมแบริง 75 องศาตะวันตก

กลองชุด




กลองชุด เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ ประกอบด้วยกลองหลายใบ และฉาบ โดยใช้ผู้เล่นคนเดียว ถือไม้ตีกลองและฉาบทั้งสองมือ และใช้เท้าเหยียบกระเดื่อง เพื่อตีกลองใหญ่ และ Cymbals กลองชุดเป็นที่นิยมใช้กับงานดนตรีเกือบทุกประเภท


ส่วนประกอบ


เครื่องดนตรีในกลองชุด ประกอบด้วย



  • กลองเล็ก หรือ สะแนร์ดรัม (Snare drum) ประกอบด้วยแผงลวดขึงรัดผ่านผิวหน้ากลองด้านล่าง เพื่อให้เกิดเสียงกรอบ ๆ ดังแต๊ก ๆ ตัวกลองทำด้วยไม้หรือโลหะ และสามารถรัดให้หนังตึงด้วยขอบไม้ด้านบนและล่าง สามารถปลดสายสะแนร์เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มดังตุ้มตุ้มได้ และตีกลองเล็กด้วยไม้ นิยมใช้กลองชนิดนี้ทั้งในวงดุริยางค์และวงดนตรี
  • กลองทอม (Tom-tom drum) หรือ เทเนอร์ดรัม (Tenor drum) มีขนาดใหญ่กว่าสะแนร์ดรัม เป็นกลองชนิดที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้สายสะแนร์ โดยทั่วไปบรรเลงในหมวดกลอง ใช้ไม้ชนิดหัวไม้หุ้มสักหลาด
  • กลองใหญ่ หรือ กลองเบส (Bass drum) เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยตัวกลองที่ทำด้วยไม้และมีหนังกลองทั้งสองด้าน เสียงที่เกิดจากการตีกลองใหญ่จะไม่ตรงกับระดับเสียงที่กำหนดไว้ทางตัวโน้ต ตีด้วยไม้ที่มีสักหลาดหุ้ม ชนิดที่มีหัวที่ปลายทั้งสองข้าง ใช้เพื่อทำเสียงรัว
  • กลองทิมปานี (หรือกลองเค็ทเทิ้ลดรัม) เป็นกลองที่มีลักษณะเป็นหม้อกระทะ ซื่งมีหน้าหนังกลองหุ้มทับอยู่ด้านบน เป็นกลองชนิดเดียวที่ขึ้นเสียงแล้วได้ระดับเสียงที่แน่นอน เมี่อคลายหรือขันหน้ากลองโดยใม่ว่าจะใช้วิธีขันสกรูหรือเหยียบเพดดัล (ที่เหยียบ) ก็ไดั ไม้ที่ใช้ตีมีการหุ้มนวมตรงหัวไม้ตี ตีได้ทั้งเป็นจังหวะและรัว
  • ฉาบ หรือ เชมเบล (Cymbal) มีอยู่2ชนิดคือฉาบที่ใช้กับกลองชุดและฉาบที่ใช้เดิน





กลองชุด เป็นบทความเกี่ยวกับ เพลง ดนตรี หรือ เครื่องดนตรี ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น

ลิง


ลิง จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จัดอยู่ในอันดับ Primates ลักษณะท่าทางคล้ายคน (คนจัดอยู่ในอันดับ Primates) ตีนหน้าและตีนหลังใช้จับเกาะได้ ที่มีหาง เช่น วอก (Macaca mulatta) ที่ไม่มีหาง เช่น กอริลลา (Gorilla gorilla).


กลุ่มลิง



  • ลิงโลกเก่า คือ ลิงทางซีกโลกตะวันออกแถบทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา ไม่มีหาง มีพัฒนาการของนิ้วหัวแม่มือให้หันเข้าหากัน เพื่อช่วยในการจับสิ่งของ มีฟันกราม 2 ซี่ เช่นเดียวกับมนุษย์ และมีความสามารถในการมองเห็นได้ดีมาก อาจเป็นบรรพบุรุษของเอป (Ape) มีภาษาของมันเอง ลิงโลกเก่านั้นมีอยู่หลายชนิด เช่น ลิงแสม ลิงบาบูน และลิงแมนดริล[ต้องการอ้างอิง]


ลิงในประเทศไทย


เมืองไทยมีลิงอยู่ 5 ชนิด คือ ลิงเสน ลิงกัง ลิงแสม ลิงไอ้เงี้ยะ และลิงวอก

หมาไทย




ประวัติสุนัขไทยหลังอาน
สุนัขไทยหลังอานเป็นสุนัขพื้นเมืองพันธุ์แท้ มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคตะวันออกแถบจังหวัดตราด ชลบุรี ระยอง ลักษณะเด่นคือ ดุร้าย จึงนิยมเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เพราะตามชนบทบ้านเรือนมักไม่มีรั้วรอบขอบชิด และกลางวันขณะที่ชาวบ้านออกไปทำไร่ทำนาก็จะปิดบ้านทิ้งไว้ให้สุนัขเฝ้าดูแลแทน อย่างไรก็ตามสุนัขพันธุ์นี้มักดุร้ายต่อเมื่ออยู่ในบ้านเท่านั้น หากออกนอกบ้านแล้วจะไม่ทำอันตรายใครทั้งสิ้น ยกเว้นเมื่อมันหรือนายของมันถูกทำร้าย สมัยก่อนชาวบ้านนิยมออกหาอาหารโดยการเข้าป่าล่าสัตว์ ซึ่งมักมีสุนัขติดตามไปช่วยล่าสัตว์ด้วย เพราะสุนัขนี้สามารถวิ่งได้เร็ว เรื่องมาจากมีช่วงลำตัวยาว อกลึกเป็นพิเศษและเอวคอด จึงถูกจัดเป็นสุนัขล่าเนื้อพันธุ์หนึ่ง แต่บางครั้งอาจได้ยินคนเรียกสุนัขพันธุ์นี้ว่า
หมาตามเกวียน ตามลักษณะที่มันวิ่งตามเกวียนไปกับผู้เลี้ยงขณะเดินทาง



ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าหมาไทยหลังอาน มีมาทั้งแต่เมื่อใด แต่พบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรในสมุดข่อย เมื่อประมาณ 380ปีมาแล้วนับจากปัจุบัน ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา ปีพุทธศักราช 2170 เป็นบันทึกที่เก่าแก่เกียวกับหมาไทย เท่าทีหาพบได้ในประเทศไทย มีข้อความอ้างถึงหมาว่า"หมาตัวมันใหญ่ มันสูงสองสอกเศษ มันมีสีต่างๆไม่ซ้ำกัน มันมีขนที่หลังกลับ มันภักดีกับผู้เลี้ยงมัน มันหากินขุดรูหาสัตว์เล็กๆ มันชอบติดตามผู้เลี้ยงไปในป่า มันได้สัตว์มันจะนำมาให้เจ้าของ มันภักดีบ้านเรือน มันรักหมู่พวกของมัน มันไปกับเจ้าของมันถึงต้นยางมีน้ำมัน มีกำลังกล้าหาญไม่กลัวใครทั้งหลาย เป็นสุวรรณรัชตะชาด มันมีโคนหูสูง มันมีหางเหมือนดาบชาวป่า ถ้าผู้ใดมีไว้จะได้รับความภักดีจากมัน"

ทั้งนี้ตามบันทึกมิได้ระบุเจาะจงว่าเป็นสุนัขไทยหลังอาน แต่ก็สันนิฐานได้ว่าน่าจะเป็นสุนัขไทยหลังอานได้ไม่ยาก เพราะลักษณะขนกลับที่หลัง และหางเหมือนดาบ นั้นหาได้แต่ในสุนัขไทยหลังอานเท่านั้น แต่จะเหมือนสุนัขไทยหลังอานในปัจจุบันหรือไม่นั้น ไม่มีใครทราบแน่นอน หรือมีหลักฐานเป็นรูปภาพวาดยืนยันไว้ และสุนัขที่มีขนกับหลังมีอยู่ไม่กี่พันธุ์ในโลกเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือสุนัขไทยหลังอานของเรา

จากหลักฐานของฝรั่งที่เข้ามาทำแผนที่ในเมืองไทยเมื่อหลายร้อยปีก่อน ได้เรียกสุนัขไทยหลังอานว่า ' ไทยภูกก ' ตามถิ่นที่มีคือ บนเกาะภูกก (Phu-Quoc) อันเป็นเกาะหนึ่งใกล้จังหวัดตราดซึ่งเคยเป็นของไทย แต่บัดนี้อยู่ ในความครอบครองของเวียดนาม และในปี พ.ศ. 2413 Cornelis Van Rooyen นักล่าสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่สมัยนั้น ได้นำเอาสุนัขไทยหลังอานมาผสม ข้ามพันธุ์กับสุนัขพันธุ์ mastiffs และสุนัขพันธุ์ Greyhounds ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาพันธุ์ไปเรื่อยๆ จนกลาย เป็นสุนัขพันธุ์ Rhodesian Ridgeback อันเป็นสุนัขล่าสัตว์ที่มีชื่อเสียงที่สุดพันธุ์หนึ่งของโลก เพราะสามารถใช้ ล่าสิงโตได้จนมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า LionDog

การวิวัฒนาการสายพันธุ์สุนัขไทยหลังอาน ไม่มีหลักฐานบันทึกที่แน่นอนว่าเริ่มต้นมาพัฒนาสานพันธุ์ตั้งแต่เมื่อใด แต่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าในปี พ.ศ.2470 หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ (ชาตะ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2441 มรณะ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2531) ท่านเป็นผู้ริเริ่มและพัฒนาสุนัขไทยหลังอาน จนได้สุนัขสีสวาทหลังอาน ที่มีสภาพสวยงาม คือขนสั้นและหางดาบ หลังจากนั้นได้นำไปผสมพันธุ์กับสุนัขไทยที่มีขนเกรียนในจังหวัดจันทบุรีและตราด ได้ลูกสุนัขหลังอานที่มีขนเกียนและกำมะหยี่ และมีผู้สนใจหลายท่านพัฒนา และจัดให้มีการจัดประกวดสุนัขไทยหลังอาน จนเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาจนปัจจุบัน

จังหวัดตราดถือว่าหมาไทยหลังอาน มีถิ่นที่อยู่ในแถบนี้มาแต่โบราณ และถือเป็นสัญญาลักษณ์ของดีเมืองตราด จนมีการแต่งกลอนกลอนสุนัขไทยหลังอานขึ้นดังนี้

ปากทู่ หูตั้ง หางโด่ง

หัวโต อกกว้าง ร่างใหญ่

ฟ้นสวย เล็บงาม สีอำไพ

กล้ามใหญ่ ไหล่ตรง ตารี

เส้นหลังตรง อานยาว อุ้งเท้าสิงห์

ก้าวเดินวิ่ง เป็นสง่า เพิ่มราศรี

ใจสู้ รู้ภาษา ร่าเริ่งดี

หมาพันธุ์นี้ ของตราดแท้ แต่โบราณ

สมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข(แห่งประเทศไทย) ได้ยื่นขอจดขึ้นทะเบียนสุนัขไทยหลังอานกับFCI และFCI ได้ รับรองมาตรฐานพันธุ์สุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน เป็นสุนัขพันธุ์แท้พันธุ์หนึ่งของโลก เมื่อวันที่ 28 ก.ค 2536 ตามมาตรฐาน FCI หมายเลข 338/JUL.28,1993/GB การจัดหมู่ของ FCI อยู่กลุ่ม 5 ประเภทสปิตซ์และพันธุ์ดั้งเดิม หมู่ 7 ประเภทดั้งเดิมสุนัขล่า สัตว์ไม่มีการทดสอบการทำงาน ปัจจุบัน Thai Kennel จัดให้อยู่ใน Hound Group สีที่รับรองมี 4 สี คือสีแดง สีดำ สีสวาด และสีกลีบบัว

ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2536 นับเป็นเกียรติประวัติอย่างสูง สำหรับวงการสุนัขไทยหลังอาน ในโอกาสที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้นำภาพวาดของสุนัขไทยหลังอานสี่ตัว พิมพ์บนแสตมป์สี่ดวง จำหน่ายเป็นวันแรก เพื่อเป็นที่ระลึกในงานสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย ปีพุทธศักราช 2536 แสตมป์เหล่านี้จะเป็นสื่อเผยแพร่สุนัขไทยหลังอาน ให้ชาวไทยและนานาชาติได้รู้จักมากขึ้น



สุนัขไทยหลังอานที่การสื่อสารฯ ใช้เป็นแบบภาพเหมือน ได้แก่
1. สุนัขเพศเมียสีกลีบบัว ไม่ปรากฎชื่อ และเจ้าของ
2. สุนัขเพศผู้สีดำ ชื่อคุณห้า ผสมพันธุ์ และเจ้าของ พลตรีอำนาจ ชยสมานนท์
3. สุนัขเพศผู้สีแดง ชื่อทองเค ไม่ปรากฎผู้ผสมพันธุ์ เจ้าของคอกบางจาก ภาพวาดโดยนายเจนวิทย์ ทองแก้ว
4. สุนัขเพศผู้สีวาด ชื่อบลู ผู้ผสมพันธุ์จ่าไพศาล เจ้าของในอดีต คุณนิติ แซ่งโล้ว เจ้าของคนปัจจุบัน คุณสมสิทธิ์ ลีฬหะสุวรรณ ภาพวาดโดยนายเจนวิทย์ ทองแก้ว





ฟุตบอล




ฟุตบอล หรือ ซอกเกอร์ เป็นกีฬาประเภททีมที่เล่นระหว่างสองทีมโดยแต่ละทีมมีผู้เล่น11คน โดยใช้ลูกฟุตบอล เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นกีฬาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก


โดยจะเล่นในสนามหญ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ สนามหญ้าเทียม โดยมีประตูอยู่กึ่งกลางที่ปลายสนามทั้งสองฝั่ง เป้าหมายคือทำคะแนนโดยพาลูกฟุตบอลให้เข้าไปยังประตูของฝ่ายตรงข้าม ในการเล่นทั่วไปผู้รักษาประตูจะเป็นผู้เล่นเพียงที่สามารถใช้มือหรือแขนกับลูกฟุตบอลได้ ส่วนผู้เล่นอื่นๆจะใช้เท้าในการเตะลูกฟุตบอลไปยังตำแหน่งที่ต้องการ บางครั้งอาจใช้ลำตัว หรือ ศีรษะ เพื่อสกัดลูกฟุตบอลที่ลอบยอยู่กลางอากาศ โดยทีมที่ประตูได้มากกว่าจะเป็นผู้ชนะ ถ้าคะแนนเท่ากันให้ถือว่าเสมอ แต่ในบางเกมที่เสมอกันในช่วงเวลาปกติแล้วต้องการหาผู้ชนะจึงต้องมีการต่อเวลาเศษ และ/หรือยิงลูกโทษขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของรายการแข่งขันนั้นๆ


โดยกฎกติการการเล่นสมัยใหม่จะถูกรวบรวมขึ้นในประเทศอังกฤษ โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปีพ.ศ. 2406 ได้กำเนิดLaws of the Gameเพื่อเป็นแนวทางกติกาการเล่นในปัจจุบัน ฟุตบอลในระดับนานาชาติจะถูกวางระเบียบโดยฟีฟ่า ซึ่งรายการแข่งขันที่มีเกียรติสูงสุดในระดับนานาชาติคือการแข่งขันฟุตบอลโลกซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี

100 แง่คิดดีดี

100แง่คิดดีดี


๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม


๒. จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว



๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน


๔. อุปสรรคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดี ดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป


๕. อุปสรรคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน


๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ไม่รู้จักการทำความดี


๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ


๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ? ทำไม ?


๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา


๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย


๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว


๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต


๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ


๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย


๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรา
กำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว



๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้ มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสัคที่ไม่เหมือนกัน


๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี


๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวัน เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้


๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า


๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น


๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี


๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร


๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง


๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง


๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก


๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย


๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด


๒๘. แท้จริง ผัว ไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี


๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?


๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน


๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน


๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้


๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง


๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย


๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้


๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง


๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ


๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา


๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล


๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น


๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสัคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป


๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน


๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าวว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?


๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต


๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน


๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้


๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?


๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?


๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา


๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น



๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน


๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่


๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม


๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาจะต้องฆ่าเราอย่างแน่นอน


๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมา กินน้อยก็มีพิษน้อย


๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก


๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง

๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน


๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเรา ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นอกจากตัวของเราเอง


๖๐. คำว่า “ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก


๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลก ไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น


๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น


๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ


๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้


๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเอง ด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ


๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเอง พรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย


๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่


๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ


๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข


๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้


๗๑. ความสบายกายและสบายจิต จะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง


๗๒. คนที่มีศรัทธา มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน


๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล


๗๔. คนนิยมสร้างพุทธ ที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ


๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์ จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต


๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ ถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระคนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก


๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา


๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการ กิน เล่น เสพกาม และนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ? เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม


๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด


๘๑. อาหารที่กินเข้าไปมาก แสนจะอึดอัด แต่มีทางระบายออก



๘๒. ยิ่งความโลภ โกรธ หลง ลดลงมากเท่าไร ความปลอดโปร่ง ยิ่งมีขึ้นมากเท่านั้น


๘๓. แสงสว่างในทางธรรม จุดประกายให้ชีวิต ให้พบแต่ความสดใส


๘๔. ความสุขทางโลก เหมือนกับการเกาขอบปากแผลที่คัน ยิ่งเกายิ่งมัน เวลาหยุดเกา มันแสบมันคัน เพราะเป็นความสุขเกิดจากความเร่าร้อน


๘๕. เมื่อตอนที่อยากได้ ก็เป็นทุกข์ขณะที่แสวงหา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วกลัวฉิบหายไป ก็เป็นทุกข์


๘๖. เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ต้องมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี


๘๗. หากมีแล้ว ทำให้มีความสุข ควรมี ถ้าหากมีแล้ว ทำให้มีความทุกข์ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม ?


๘๘. ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นความไม่เที่ยงนั้นว่าความสุข


๘๙. แม้ความสุขนั้นมันก็ไม่เที่ยง จะไปหวังเอาอะไรอีกเล่า ?


๙๐. พบกันก็เพื่อจากกัน ได้มาก็เพื่อจากไป


๙๑. มองทุกข์ให้เห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข


๙๒. ความเบาใจ คลายกังวล ย่อมมีได้ แก่บุคคลผู้เข้าใจธรรมะ


๙๓. ยิ่งเข้าถึงธรรมที่เป็นจริงมากเท่าใด ความเบาสบายใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น


๙๔. เพราะความสุขทางโลก ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความเพลิดเพลิน มัวเมา ประมาทในชีวิต จนลืมทางธรรม


๙๕. ทางเดิน ๒ ทาง ทางโลก และ ทางธรรม


๙๖. ทางโลก คือการปล่อยใจไปตามความอยากในโลกีย์ ทางธรรม คือการควบคุมใจตนเอง ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง


๙๗. ผิดหวังทางโลก ยังมีทางธรรมคุ้มครอง หากคนนั้นรู้จักธรรม


๙๘. ผิดหวังทางโลก อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตนเอง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักธรรม


๙๙. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น


๑๐๐. มันเป็นเช่นนั้นเอง.


ส้มตำ


ส้มตำ
ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เป็นเครื่องเคียง
ร้านที่ขายส้มตำ มักจะมีอาหารอีสานอย่างอื่นขายร่วมด้วย เช่น
ซุปหน่อไม้ ลาบ ก้อย น้ำตก ไก่ย่าง ข้าวเหนียว เป็นต้น

ประวัติ

ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้

มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว[1] และได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด

ในปัจจุบัน ส้มตำเป็นอาหารที่แพร่หลายและนิยมรับประทานทุกภาคของประเทศไทย และยังเป็นอาหารไทยที่ขึ้นหน้าขึ้นตาต่อชาวโลกอีกด้วย

ส้มตำแบบต่างๆ
  • ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู
  • ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ
  • ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำซั่ว ใส่ทั้งเส้นขนมจีนและเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน
  • ตำโคราช ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้งและปลาร้า
  • ส้มตำไข่เค็ม ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้น รสชาติกลมกล่อมพอดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบส้มตำเผ็ดจัด

นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า "ตำมะม่วง," กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย," แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง," ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว," และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้

นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

เพลง

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระราชนิพนธ์ เพลงส้มตำ ขึ้นโดยมีการใส่ท่วงทำนองในรูปแบบเพลงลูกทุ่ง และ ขับร้องโดยนักร้องที่มีชื่อเสียงหลายท่านจนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

ในปี พ.ศ. 2533 เทียรี่ เมฆวัฒนา ได้แต่งเพลงที่มีเนื้อหากล่าวถึง ส้มตำ ในเพลงชื่อ ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก ในอัลบั้มชุด เจาะเวลา... ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก และเป็นเพลงที่ได้รับความนิยม ซึ่งในสมัยสงครามเวียดนาม คำว่า ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก นี้เป็นที่รับรู้กันในสังคมว่าหมายถึงส้มตำ แต่มิใช่เป็นคำเรียกส้มตำในภาษาอังกฤษอย่างที่หลายคนเข้าใจ